จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

10 ประเทศที่มีความเป็นมิตรมากที่สุดในโลก

เผยรายชื่อ 10 ประเทศที่ได้รับการยกย่องว่าใจดี มีความเป็นมิตรมากที่สุดในโลก โดยวิเคราะห์จากความน่าอยู่ ปลอดภัย สถิติการเกิดคดีอาชญากรรมต่ำ และการเป็นเจ้าบ้านที่ดี (ต้อนรับอบอุ่น ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว) เป็นต้น
"อาสค เมน" แนะนำ 10 อันดับประเทศน่าเที่ยวเนื่องจากมีความ "เป็นมิตร" ต่อนักเดินทางมากที่สุดในโลก... ไม่ว่าจะเห็นด้วย หรือไม่ก็ตาม มาดูกันว่า "10 ประเทศที่มีความเป็นมิตรมากที่สุด" ในที่นี้ ประกอบด้วยประเทศใดบ้าง

อันดับที่ 10 ประเทศเยอรมนี
จะว่าไปแล้วคนเยอรมันเองก็เป็นนักเดิน ทางท่องเที่ยวต่างประเทศตัวยง ในขณะที่ประเทศของเขาก็มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปเยือนเกือบ 20 ล้านคนในแต่ละปี แม้ว่าภายนอกชาวเยอรมันอาจดูเหมือนเป็นคนเย็นชา แต่ถ้าได้รู้จักหรือทักทายกันแล้วล่ะก็ คุณจะรู้สึกได้ถึงความเป็นมิตรที่พวกเขามีให้อย่างเต็มเปี่ยม
ถึงแม้ว่าเยอรมนีจะมีสถิติการเกิดคดี อาชญากรรมค่อนข้างสูง (เพิ่มขึ้น 30% ในรอบ 7 ปี) แต่ถ้าเทียบกับสหรัฐอเมริกาก็ยังถือว่ามีสถิติการเกิดเหตุการณ์รุนแรงต่ำ กว่ามาก ที่สำคัญคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเรื่องภายในของคนในท้องถิ่น ไม่ใช่คดีทำร้ายร่างกายหรือคุกคามข่มขู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ

อันดับที่ 9 ประเทศเนเธอร์แลนด์
ในแต่ละปีที่เมืองอัมสเตอร์ดัม จะมีบรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปเยือนประมาณ 7 ล้านคน และสิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวเหล่านี้เป็นปลื้มก็คือ ความเป็นมิตรและมีชีวิตชีวาของชาวดัทช์
แม้ว่าแหล่งท่องเที่ยวบางแห่งของประ เทศเนเธอร์แลนด์ หรือแม้กระทั่งตามสถานีรถไฟ จะขึ้นชื่อเรื่อง "ล้วงกระเป๋า" นักท่องเที่ยว แต่สถิติการเกิดคดีอาชญากรรมของประเทศนี้ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ และจัดว่าเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ค่อนข้างปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว


อันดับที่ 8 สกอตแลนด์
ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางไปเยือนสกอตแลนด์ทั้งสิ้นจำนวน 16 ล้านคน ซึ่งบรรดานักท่องเที่ยวเหล่านี้จะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง จากชาวสกอตแลนด์ที่มีมาตรฐานการศึกษาค่อนข้างสูง มีอารมณ์ขัน และยึดมั่นในวัฒนธรรมของตนเอง
อย่างไรก็ตาม หากนำสถิติการเกิดอาชญากรรมรุนแรงในสกอตแลนด์มาเปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกา จะพบว่าที่นี่มีคดีอาชญากรรมสูงกว่า แต่มักเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบนอกแหล่งท่องเที่ยว จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยมากนัก แถมสถิติการฉกชิง วิ่งราว รูดทรัพย์นักท่องเที่ยวยังต่ำมากๆ อีกด้วย

อันดับที่ 7 ประเทศฟิจิ
ฟิจิ เป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งนำรายได้หลักเข้าสู่ประเทศมากกว่า 1.4 หมื่นล้านบาทในแต่ละปี ด้วยเหตุนี้ ประเทศที่เต็มไปด้วยเกาะมากกว่า 300 แห่งอย่างฟิจิ จึงยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน
นอกจากนี้ ชาวฟิจิยังเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่นและยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ ยินดีช่วยเหลือทุกครั้งที่นักท่องเที่ยวร้องขอ ที่สำคัญสถิติการเกิดอาชญากรรมยังอยู่ในระดับต่ำและลดลงอย่างต่อเนื่อง น่าเสียดายที่หลังจากรัฐบาลทหารเข้าปกครองประเทศ เมื่อปี ค.ศ. 2007 คะแนนความเป็นมิตรของประเทศฟิจิก็ลดต่ำลง แต่นับว่ายังโชคดีที่ปัจจุบันนี้ธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศฟิจิยังคงแข็ง แกร่งเหมือนเดิม

อันดับที่ 6 ประเทศอิตาลี
อิตาลี ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดฮอตและอยู่ในอันดับท็อปไฟว์ของประเทศที่มีนักท่อง เที่ยวเดินทางไปเยือนมากที่สุดในโลก ประเทศนี้มีประชากรราว 58 ล้านคน แต่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปเยือนมากถึงปีละเกือบ 40 ล้านคนเลยทีเดียว
เมื่อใดก็ตามที่นักท่องเที่ยวสนใจ ศึกษาวัฒนธรรมของชาวอิตาลี พวกเขาก็พร้อมที่จะสอนทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะการทำอาหารหรือสร้างสรรค์ผลงานทางด้านศิลปะ แม้ว่าประเทศนี้จะขึ้นชื่อเรื่องล้วงกระเป๋านักท่องเที่ยว แต่ถ้าหากเราเตรียมการป้องกันเป็นอย่างดีก็แทบไม่มีอะไรให้กังวลอีก

อันดับที่ 5 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เป็นที่รู้กันว่าชาวสวิสขึ้นชื่อใน เรื่องการทุ่มเทและตั้งใจทำงานอย่างหนัก อีกทั้งยังซื่อสัตย์เชื่อถือได้ แต่สิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวประทับใจก็คือ ความเป็นมิตรของผู้คน ทั้งยังเอาใจใส่ดูแลนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ชาวสวิสจะให้ข้อมูลทุกอย่างที่นักท่องเที่ยวต้องการ และยินดีให้ความช่วยเหลือเมื่อถูกร้องขอ
ด้านความปลอดภัยถือว่าอยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วโดยส่วนใหญ่ สถิติการเกิดคดีอาชญากรรมก็ต่ำกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 50% ถึงแม้ว่าจะมีขโมยมากกว่า แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนหนึ่งพบว่าการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศนี้ มีความปลอดภัยมากกว่าการเดินเล่นแถวบ้านตนเองด้วยซ้ำ
ออสเตรเลีย มีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 5 ล้านคนเดินทางเข้าไปเยือนในแต่ละปี ส่งผลให้มีรายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวปีละเกือบสองแสนล้านบาท
สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีอะไรให้นักท่องเที่ยวกังวลมากนัก เพราะมีสถิติการเกิดอาชญากรรมต่ำ ยกเว้นปัญหาเรื่องการ "ขโมยรถ" เนื่องจากมีสถิติรถหายสูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ถึง 2 เท่า ซึ่งถ้าหากใครมีแผนเช่ารถขับกินลมชมวิวที่ออสเตรเลียแล้วล่ะก็คงต้องคอยดูแล รถให้ดีๆ


อันดับที่ 4 ประเทศออสเตรเลีย
ออสเตรเลีย มีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 5 ล้านคนเดินทางเข้าไปเยือนในแต่ละปี ส่งผลให้มีรายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวปีละเกือบสองแสนล้านบาท
สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีอะไรให้นักท่องเที่ยวกังวลมากนัก เพราะมีสถิติการเกิดอาชญากรรมต่ำ ยกเว้นปัญหาเรื่องการ "ขโมยรถ" เนื่องจากมีสถิติรถหายสูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ถึง 2 เท่า ซึ่งถ้าหากใครมีแผนเช่ารถขับกินลมชมวิวที่ออสเตรเลียแล้วล่ะก็คงต้องคอยดูแล รถให้ดีๆ


อันดับ ที่ 3 ประเทศแคนาดา
แคนาดา เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มักอยู่ในอันดับต้นๆ ของการจัดอันดับ (ในด้านที่ดี) ไม่ว่าจะเป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก เมืองปลอดภัยที่สุดในโลก หรือแม้กระทั่งเมืองที่เป็นมิตรต่อนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก เป็นต้น
สาเหตุส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการที่แคนาดามีสถิติการเกิดอาชญากรรมรุนแรงในระดับที่ต่ำ มาก ทั้งยังยินดีเปิดบ้านต้อนรับคนต่างชาติไม่ว่าจะในฐานะนักท่องเที่ยวหรือผู้ อยู่อาศัย จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมแคนาดาจึงอุดมไปด้วยวัฒนธรรมอันหลากหลาย ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อนักท่อง เที่ยวมากที่สุดในโลก


อันดับที่ 2 ประเทศนิวซีแลนด์
นิวซีแลนด์ เป็นประเทศที่มีประชากรเพียง 4 ล้านคน ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางเข้าไปเยี่ยมชมธรรมชาติอัน บริสุทธิ์และสวยงามของประเทศนี้ราว 2 ล้านคน ส่งผลให้มีรายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวสูงถึงปีละ 6.7 หมื่นล้านบาท
พลเมืองของประเทศนี้ขึ้นชื่อในเรื่อง ของความซื่อสัตย์และไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ถึงขนาดไม่ล็อคประตูบ้าน และมีมาตรการด้านการรักษาความปลอดภัยภายในองค์กรที่ไม่ค่อยเข้มงวดมากนัก แม้ว่าปัจจุบัน ทางการนิวซีแลนด์จะกระตุ้นให้เพิ่มความระมัดระวังและรักษาความปลอดภัยให้ เข้มงวดขึ้น แต่สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว พวกเขายังคงน่ารักและเป็นมิตรกับทุกคนเหมือนเช่นเคย


อันดับที่ 1 ประเทศไอร์แลนด์
โลนลี่ แพลนเน็ต ยกย่องให้ไอร์แลนด์ เป็นประเทศที่มีความเป็นมิตรต่อนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก ประเทศนี้ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นรวดเร็วที่สุดใน ยุโรป ซึ่งในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปเยือนมากกว่า 6 ล้านคน ในขณะที่มีประชากรเพียง 4 ล้านคนเท่านั้น
แม้ว่าผู้คนในประเทศนี้จะมีอดีตที่แสนเจ็บปวดจากการเข่นฆ่าและภัยสงคราม แต่ในปัจจุบันสถิติอาชญากรรมของไอร์แลนด์อยู่ในระดับที่ลดต่ำลงเรื่อยๆ (ต่ำกว่าสหรัฐอเมริกา 75%) จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่แสนสงบสุข ผู้คนนิยมออกมาสังสรรค์กันตามผับเพื่อแชร์ความทุกข์ ร่วมสุข และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ที่สำคัญชาวไอร์แลนด์ยังต้อนรับแขกผู้มาเยือนอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง เสมือนเพื่อนอีกด้วย

10 บุคลิกหญิงที่ชายอยากขอแต่งงาน


1. ความเป็นตัวของตัวเอง คุณน่าจะพิจารณาคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองพอสมควร และสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ทั้งทางฐานะการเงินและวุฒิทางอารมณ์ ถึงอยู่ห่างกันบ้างก็สามารถมีความสุขกับชีวิต โดยที่ยังคิดถึงกันและกันเพราะถ้าคุณตัดสินใจจะมีคู่ชีวิตสักคน แล้วต้องดูแลอีกฝ่ายเหมือนตัวเองเป็น พี่เลี้ยงเด็กอ่อน ตลอดเวลา ความรักที่มีอาจแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเหนื่อยล้าได้ แต่ถ้าจะมีบางครั้งบางคราวที่เธอจะมาขอซบไหล่เพื่อร้องไห้ ก็ถือซะว่าเป็นเรื่องปกติ ตรงกันข้าม หากเธอมีความเป็นตัวของตัวเองสุดกู่ เชื่อมั่นในบุคลิกภาพและความเห็นของตัวเองมากเกินไป ชีวิตคู่ก็ยิ่งแตกหักกันได้ง่าย เพราะแทนที่คุณจะเป็นหัวหน้าครอบครัว เธออาจจะยึดครองตำแหน่งแทนคุณซะเอง


2. มีสมอง ผู้หญิงที่สวยอย่างเดียว เมื่ออายุมากขึ้น มักแก่แล้วแก่เลย ต่างจากผู้หญิงที่มีสมองแต่อาจจะสวยน้อยลงมาหน่อย ผู้หญิงลักษณะนี้มักมีอะไรใหม่ๆมาให้คุณแปลกใจ เบื้องหลังดวงตาความเป็นคนช่างคิดของเธอ ทำให้ผู้ชายอยากค้นหาอยู่เสมอ เธอจึงไม่ยอมให้ตัวเองกลายเป็นของน่าเบื่อหน่ายง่ายๆ

3. เซ็กซ์ ควรมีรสนิยมที่ไปด้วยกันได้ เช่น ถ้าคุณมีรสนิยมแบบชื่นชอบความเจ็บปวด แต่คู่ครองนิยมความนิ่มนวล ปัญหาย่อมเกิดขึ้นแน่ๆ คนจะเป็นคู่ชีวิตกัน ควรมีรสนิยมใกล้เคียงกันอย่างน้อยเธออาจยินดีสวมชุดชั้นในหนังและถือแส้ได้บ้างเป็นบางครั้ง ความรื่นรมย์ข้อนี้ไม่จำเป็นที่ผู้หญิงต้องรู้ทุกซอกทุกมุมที่จะทำให้ฝ่ายชายมีความสุข เพียงแต่ในเรื่องเซ็กซ์ระหว่างคุณสองคน ควรมีจุดที่ดึงดูดใจซึ่งกันและกันบ้าง และสามารถพูดคุยปรึกษากันได้ว่าชอบและไม่ชอบอะไร

4. ความสวย ความสวยขึ้นอยู่กับมุมมองและทัศนคติของแต่ละบุคคล คนสวยของคุณอาจไม่สวยในสายตาคนอื่นก็เป็นได้ เพราะคุณรักเธอที่จิตใจ ดังนั้นคนที่เธอคิดจะร่วมชีวิตด้วยก็คือคุณ จึงไม่จำเป็นต้องแคร์สายตาใคร

5. การให้เกิยรติ คนที่คุณเลือกมาเป็นคู่ชีวิต ควรมีความเคารพนับถือในตัวคุณ หมายถึงเธอยินดีรับฟังความคิด แม้ว่าอาจจะไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ก็ยังยินดีฟังไว้ก่อน รวมทั้งไม่ดูถูกดูแคลนบุคลิกภาพของคุณทั้งในด้านนิสัยแม้กระทั้งทางด้านสรีระ คู่ครองที่ดีจะไม่ฉีกหน้าคุณต่อหน้าเพื่อน หรือครอบครัวของคุณ แต่จะรอจนกว่าจะกลับมาคุยกันในที่ส่วนตัวเงียบๆ ผู้หญิงที่ให้เกิยรติในตัวสามี จะมีกิริยาน่ายกย่องและใจเย็นและสามารถเผชิญได้กับทุกสถานการณ์ที่คุณเป็น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี

6. ยอมให้สนุกแบบผู้ชาย เธอยินดีให้คุณสนุกแบบที่ผู้ชายสนุกกัน เช่นยินดีให้คุณชวนเพื่อนสนิทมาร่วมนั่งเฮฮาเชียร์การถ่ายทอดสดฟุตบอลทีมโปรดที่บ้าน พร้อมกับเตรียมแซนด์วิช หรือของขบเคี้ยวให้ตามสมควร คู่ชีวิตควรเข้าใจถึงความสนใจที่แตกต่างระหว่างผู้ชายและผู้หญิง และต้องยอมให้สามีเป็นตัวของตัวเองบ้าง

7.อย่าหาเรื่องจับผิด ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่า 'การหาเรื่องจับผิด'ผู้หญิงที่จะเป็นคู่ชีวิตที่ดีมักรู้ว่าสถานการณ์นี้จะทำให้ชีวิตครอบครัวหมดสิ้นซึ่งความสุข และเลือกวิธีทำสงครามได้ฉลาดกว่านี้ เธอจะรู้ว่าเมื่อใดควรพูด เมื่อใดควรปล่อยให้มันผ่านไป แต่ถ้าสามีออกไปตะลอนนอกบ้านตลอดทั้งคืนโดยไม่โทรศัพท์บอกภรรยาสักคำ อย่างนี้ก็อย่าหวังว่าเธอแสนดีคนใดจะปล่อยให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปโดยไม่ไต่สวน

8. เข้ากับครอบครัวและเพื่อนได้ คู่ครองที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยงานในครัวกับว่าที่แม่สามี แต่ยังฟังเรื่องสัพเพเหระว่าที่พ่อสามีคุยให้ฟังได้ด้วย และออกไปร่วมสังสรรค์ กับเพื่อนของคุณได้ในยามที่คุณขอร้อง นี่แสดงให้เห็นว่าเธอพยายามทำความรู้จักและรักบุคคลที่มีความสำคัญในชีวิตของคุณ และไม่พยายามดึงคุณออกมาจากเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของคุณ

9. เธอรักคุณ หากคุณพบผู้หญิงซึ่งรักคุณอย่างตัวตนที่คุณเป็นจริงๆ คุณควรถนอมเธอเอาไว้ หายากมากสำหรับผู้หญิงที่ไม่พยายามเปลี่ยนแปลงตัวคนที่เธอรัก และ อีกวิธีหนึ่งที่จะดูว่าเธอรักคุณจริงๆ หรือไม่ คือ สังเกตวิธีการมองของเธอ และการปฏิบัติต่อคุณทุกๆ วัน ถ้าเวลาที่คุณไปเจอหน้าเธอ แล้วไม่ได้ทำให้เธอดูดีใจ เธอไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของคุณ เธออาจยังไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับคุณ เธอเห็นคุณเป็นเพียงผู้ชายทั่วไป แต่ถ้าเสียงโทรศัพท์จากคุณทำให้เธอตื่นเต้นดีใจ นั่นเป็นสัญญาณที่ดีที่บอกว่าเธอรักคุณ

10. เธอทำให้คุณอยากทำตัวดีขึ้นกว่าเดิม ผู้ชายซึ่งมีแฟนสาว หรือภรรยาที่ดีเลิศมักจะพูดกันติดปาก ว่าพวกเธอทำให้เขาอยากทำตัวให้ดีขึ้นกว่าเก่ากันทั้งนั้น ทั้งๆที่พวกเธอไม่ได้เอ่ยปากขอหรือทำอะไรทั้งสิ้น ความรู้สึกที่ทำให้คุณอยากทำตัวเช่นนั้น เรียกว่า 'ความรัก' นั่นเอง ...

ไข่เจียว แพงที่สุดในโลก ราคา 1,000 เหรียญยูเอส



คุณสามารถหากินไข่เจียว แพงที่สุดในโลก ได้เพียงที่เดียวในโลก ที่ภัตตคาร Le Parker Meridien ในมหานครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ไข่เจียวจานนี้มีชื่อในเมนูว่า " Zillion Dollar Frittata "
โดยไข่เจียวจานนี้ประกอบไปด้วย

ไข่ปลาคาร์เวียร์ Sevruga จำนวน 10 ออนซ์

กุ้งล็อปสเตอร์ ( Lobster )

ไข่ไก่ 6 ฟอง


ทำให้มันมี ราคา 35,000 บาท ต่อ จาน ( 1,000 เหรียญยูเอส )

อ.ชาลีทำอาหาร

ไวรัสตับอักเสบบี



ได้ยินชื่อกันอยู่บ่อย ๆ สำหรับ ไวรัสตับอักเสบบี หรือ โรคไวรัสตับอักเสบบี แต่หลายคนก็ยังไม่ทราบว่า ไวรัสตับอักเสบบี เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีอันตรายมากน้อยขนาดไหน วันนี้เรามาเจาะลึกเรื่อง ไวรัสตับอักเสบบี กันดีกว่า
ไวรัสตับอักเสบบี คือ โรคตับอักเสบ ชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากเชื้อไวรัส บี แต่ถ้าหากเกิดจากเชื้อไวรัสตัวอื่น ๆ เช่น ไวรัส เอ ไวรัส ซี ก็จะเรียกชื่อต่าง ๆ กันไป แต่ส่วนใหญ่จะมีอาการคล้ายคลึงกัน เพียงแต่ ไวรัสตับอักเสบบี เป็นตัวที่อันตรายและรุนแรงมากที่สุด เพราะเชื้อไวรัสจะซ่อนตัวอยู่ในคน ก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งตับ , ตับอักเสบเรื้อรัง หรือตับแข็งได้
การระบาดของ ไวรัสตับอักเสบบี ในประเทศไทย
ในประเทศไทยพบผู้ป่วย ไวรัสตับอักเสบบี มานานแล้ว และพบค่อนข้างมาก โดยใน 100 คน จะพบคนที่เป็นพาหะ ไวรัสตับอักเสบบี อยู่ประมาณ 8-10 คน ซึ่งคนที่เป็นพาหะนั้น ไม่ได้เป็นโรค ไม่มีอาการป่วยไวรัสตับอักเสบบี เพียงแต่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่ในร่างกายนานเกิน 6 เดือนขึ้นไป และสามารถแพร่เชื้อให้คนอื่น ซึ่งสามารถตรวจเลือดพิสูจน์ได้ว่า เป็นพาหะหรือไม่
ปัจจุบันมีการคาดคะเนกันว่า มีคนไทยประมาณ 5 ล้านคน เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี ขณะที่คนทั่วโลกมีผู้เป็นพาหะประมาณ 200 ล้านคน โดยจะพบมากที่ตอนกลางของแอฟริกา ตอนใต้ของประเทศจีน ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศที่ด้อยพัฒนา หรือกำลังพัฒนาทั้งสิ้น และในผู้ใหญ่ทุก ๆ 100 คน จะมีคนที่เคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี นี้มาแล้ว 50 คน คือครึ่งต่อครึ่งนั่นเอง
การติดต่อของ ไวรัสตับอักเสบบี
เชื้อไวรัสตับอักเสบบีนี้จะพบในเลือดมากที่สุด รองลงมาพบในน้ำลาย น้ำตา น้ำอสุจิ น้ำเมือกในช่องคลอด น้ำดี และน้ำนมของผู้ป่วย หรือผู้ที่เป็นพาหะ และสามารถติดต่อกันได้ผ่านช่องทางเดียวกับการติดต่อโรคเอดส์ คือ
1. ทางเพศสัมพันธ์
ไม่ว่าจะเป็นการมีเพศสัมพันธ์ปกติ หรือแบบรักร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จึงถือว่า โรคไวรัสตับอักเสบบี จัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคหนึ่ง
2. ทางเลือดและน้ำเหลือง
เช่น การถ่ายเลือด หรือการฟอกเลือดด้วยไตเทียม ซึ่งเลือดทุกขวดที่จะถ่ายไปสู่ผู้อื่น หรือที่ได้รับการบริจาคมา ต้องได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเสียก่อน
3. การใช้สิ่งของร่วมกัน
เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การฝังเข็ม การสัก การเจาะหูที่ไม่สะอาด การใช้มีดโกน มี่ตัดเล็บ หรือแปรงสีฟันร่วมกัน
4. จากแม่สู่ลูก
แม่ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อไปยังลูกได้ขณะกำลังคลอด โดยหากแม่มีเชื้อนี้อยู่ ลูกมีโอกาสที่จะได้รับเชื้อด้วยถึง 90% และส่งผลอันตรายต่อทารก
ทารกที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จากหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี หรือป่วยเป็นโรคนี้ จะไม่สามารถกำจัดเชื้อให้หมดไปได้เอง เหมือนกับผู้ใหญ่ที่ได้รับเชื้อมาจากสาเหตุอื่น โดยทารกแรกเกิดมักไม่มีอาการว่า ป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบบี แต่จะกลายเป็นพาหะเรื้อรังนานหลายสิบปี หรือตลอดชีวิต และเมื่อทารกเหล่านี้โตขึ้นอยู่ในวัยกลางคน จะมีโอกาสเป็นโรคตับเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้ โดยเพศชายจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคทางตับมากกว่าเพศหญิง ส่วนเพศหญิงก็จะเป็นพาหะถ่ายทอดโรคไปสู่ลูกต่อไป ดังนั้น เพื่อเป็นการตัดวงจร เด็กทารกทุกคนที่เพิ่งคลอดมา ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี เพื่อป้องกันไม่ให้โรคดำเนินต่อไป
5. ทางบาดแผล ผิวหนัง
หากผู้มีเชื้อมีบาดแผลถลอก ก็อาจทำให้เกิดการติดต่อได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ไวรัสตับอักเสบบี นี้ไม่ติดต่อกันผ่านทางการสัมผัสทางผิวหนัง กอด จูบ การมองหน้า ไอจามรดกัน รวมทั้งการทานอาหารและน้ำ แต่เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน หากเราไม่แน่ใจก็ควรใช้ช้อนกลาง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากน้ำลายของผู้ที่เป็นพาหะ
กลุ่มเสี่ยงติด ไวรัสตับอักเสบบี
เนื่องจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบี สามารถติดต่อผ่านทางของเหลวของร่างกายผู้ป่วย หรือผู้ที่เป็นพาหะได้ ดังนั้น บุคคลดังต่อไปนี้จึงมีความเสี่ยงสูงในการรับเชื้อ
1. คนที่ใช้ยาเสพติด ฉีดเข้าหลอดเลือด
2. ชายรักร่วมเพศ
3. ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
4. ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
5. คนที่เกิดในถิ่นที่มีการระบาดสูง

6. เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการ
7. บุคคลที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบี
อาการของผู้ติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี
ส่วนใหญ่ผู้ที่ติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี มักไม่มีอาการป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก โดยผู้ป่วยจะมีอาการเพลีย เบื่ออาหาร อาจมีไข้ต่ำ ๆ ในวันแรก ๆ มีอาการจุกแน่นท้อง ปวดท้อง ตัวเหลือง ตาเหลือง มีปัสสาวะสีเข้ม อาการเหมือนดีซ่าน เป็นอยู่ 2-3 สัปดาห์หรือเป็นเดือน แล้วจะหายเป็นปกติ มีเพียงส่วนน้อยที่อาจทำให้ตับเสีย มีอาการเพ้อคลั่ง ซึม มีน้ำในท้อง ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด
ทั้งนี้ ระยะฟักตัวของเชื้อนี้ คือ 30 - 180 วัน โดยเฉลี่ยคือ 60 - 90 วัน โดยทั่วไปผู้ที่ได้รับเชื้อร้อยละ 90 จะสามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้ และหายเป็นปกติ พร้อมกับสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาได้ตลอดชีวิต ซึ่งเราสามารถตรวจเลือด เพื่อตรวจสอบว่ามีภูมิต้านทานโรคไวรัสตับอักเสบหรือไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางคนที่ยังมีเชื้ออยู่ในร่างกายอยู่ หรือเรียกว่าเป็นพาหะ แต่ตับยังทำงานได้ตามปกติ ไม่เกิดความผิดปกติแต่อย่างใด แต่ผู้ที่เป็นพาหะนี้ ก็มีอัตราเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งตับมากกว่าคนปกติถึง 223 - 250 เท่า และเกือบครึ่งหนึ่งของผู้เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะเสียชีวิต เนื่องจากโรคตับอักเสบเรื้อรัง, ตับแข็ง และมะเร็งตับ แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่จะเป็นโรคตับร้ายแรงเหล่านี้ จะต้องมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในตัวนานกว่า 20-30 ปีขึ้นไป นั่นคือ ต้องได้รับเชื้อมาตั้งแต่เด็กนั่นเอง
หากรู้ว่าเป็นพาหะ ไวรัสตับอักเสบบี ควรทำอย่างไร
ผู้ที่เป็นพาหะ ไวรัสตับอักเสบบี ควรปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้
1. รักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารที่มีประโยชน์ และสามารถทานอาหารร่วมกับผู้อื่นได้ โดยใช้ช้อนกลาง
2. หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตับ เช่น การทานยาบางชนิด การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารพิษจากเชื้อรา เป็นต้น
3. หากพบอาการผิดปกติ เช่น เท้าบวม ท้องบวม อุจจาระเป็นสีดำ ตัวเหลือง ตาเหลือง ควรรีบปรึกษาแพทย์
4. เจาะเลือดปีละครั้ง เพื่อตรวจการทำงานของตับ และตรวจหาสารแอลฟา ฟีโตโปรตีน (Alpha Fetoprotein) ในเลือด ที่บ่งบอกว่าจะเกิดมะเร็งตับหรือไม่ และจะตรวจถี่ขึ้นในผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
5. งดบริจาคเลือด และแยกใช้ข้าวของเครื่องใช้ เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่น
6. ให้บุคคลใกล้ชิดเข้ารับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี เพื่อสร้างภูมิต้านทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กแรกเกิดควรได้รับการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตาม การให้วัคซีนแก่ผู้ที่เป็นพาหะแล้ว ไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสให้หมดไปได้
หากรู้ว่าเป็น ไวรัสตับอักเสบบี ควรทำอย่างไร
แม้ส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบี จะสามารถหายได้เอง และสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้ แต่เมื่อตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ก็ควรปฏิตัวดังนี้
1. ทานยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
2. ตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อทราบอาการว่า เป็นมากหรือน้อย
3. บอกคนใกล้ชิดให้ทราบ เพื่อป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน
4. งดการบริจาคเลือดโดยเด็ดขาด
5. ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะส่งผลร้ายต่อตับ
6. ไม่ควรใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะจะมีผลต่อตับโดยตรง
7. พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะจะทำให้การอ่อนเพลียลดลง
8. สวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันเชื้อที่จะส่งต่อไปยังผู้อื่น
9. ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้ไขมันสูง น้ำหวาน เพราะจะทำให้เกิดไขมันสะสมที่ตับ จึงควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย และมีประโยชน์ต่อร่างกาย
การรักษา ไวรัสตับอักเสบบี

ปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีโดยตรง เป็นเพียงแค่การรักษาตามอาการเท่านั้น แต่ดังที่กล่าวข้างต้น ร้อยละ 90 ของผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีสามารถหายได้เองตามธรรมชาติ มีเพียงส่วนน้อยที่จะเกิดอันตรายขึ้น แต่ในบางรายที่มีอาการตับอักเสบร่วมด้วย ก็อาจฉีดยา หรือให้กินยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการเสื่อมของตับ
การป้องกัน ไวรัสตับอักเสบบี
สำหรับคนที่ยังไม่เคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี สามารถป้องกันได้โดย
หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ร่วมกันคนไข้ หรือคนที่เป็นพาหะ
หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือด น้ำเลือด น้ำลาย ของคนไข้ หรือคนที่เป็นพาหะ
ตรวจสอบความสะอาดของอุปกรณ์ เช่น เข็มฉีดยา เข็มสำหรับเจาะหู การฝังเข็ม ว่าเป็นของใหม่ หรือผ่านการฆ่าเชื้อโรคมาแล้วเป็นอย่างดี
รักษาสุขอนามัยให้สะอาดอยู่เสมอ รวมทั้งการเลือกรับประทานอาหาร และน้ำด้วย
ใช้ช้อนกลาง ในการรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
ไม่ส่ำส่อนทางเพศ และใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
ฉีดวัคซีน เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบ
การฉีดวัคซีนป้องกัน ไวรัสตับอักเสบบี
วัคซีนป้องกัน ไวรัสตับเสบบี มีราคาค่อนข้างสูง ดังนั้น ผู้ที่จะฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ต้องตรวจเลือดก่อนว่าเคยได้รับเชื้อหรือไม่ เพราะผู้ที่เคยได้รับเชื้อและหายขาด จะทำให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อสู้โรคนี้ไปตลอดชีวิต หรือหากใครที่เป็นพาหะแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนอีก เพราะจะไม่สามารถช่วยทำให้เชื้อหมดไปจากร่างกายได้ โดยการตรวจเลือด จะตรวจกันอยู่ 3 อย่างคือ
1. ตรวจ HBs Ag หรือตรวจการติดเชื้อ หรือเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี
2. ตรวจภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบบี ได้แก่ HBs Ab หรือ anti HBs
3. ตรวจภูมิคุ้นเคยต่อไวรัสตับอักเสบบี หรือเคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมาก่อน ได้แก่ HBc Ab หรือ anti HBcซึ่ง ถ้าพบตัวใดตัวหนึ่งเป็นบวก (Positive) ก็ไม่ต้องฉีดวัคซีน แต่หากเป็นลบ (Negative) ทั้งหมด ก็สามารถฉีดวัคซีนได้
ทั้งนี้ วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี สามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิด และควรฉีดเมื่ออายุยังน้อย ๆ เพื่อป้องกันก่อนได้รับเชื้อ
แม้ในประเทศไทยจะพบผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบีจำนวนไม่น้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าวิตกมากเกินไป เพราะผู้ป่วยโรคนี้สามารถดำเนินชีวิตได้เหมือนคนปกติ และคนส่วนใหญ่สามารถหายจากโรคได้เองตามธรรมชาติ สิ่งสำคัญ ควรปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง ไม่ควรอดนอน หรือดื่มสุราที่จะส่งผลร้ายต่อตับอย่างเด็ดขาด และหากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ก็ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

Wedding VDO Cherry&Golf




Corn Snake หรืออีกชื่อ หนึ่ง Red Ratsnake เป็น งูที่ได้รับความนิยมเลี้ยงมากที่สุด ในบรรดางูตระกูลนี้ เนื่องจากมีสีสันที่สด และลายที่สวยงาม นิสัยไม่ดุร้าย ไม่มีพิษ เกล็ดแข็งและเรียบ ลื่น มักหากิน หรือพบตามบริเวณบ้าน สวน ยุ้งฉาง และไร่ข้าวโพด (เลยเป็นที่มาของชื่อ) ในอเมริกาตะวันออกเฉียงใต้ มักจับหนูกินเป็นอาหาร Corn snake มีรูปร่างที่เปรียวบาง ส่วนหัวเล็กและแคบ ตากลมโต คอสั้น มีลวดลายหลายแบบและสีโทนแดงจนถึงเหลืองขาว


แมงมุมทารันทูล่า (Tarantula) แมงมุมทารันทูล่า ลักษณะโดยทั่วไป ตัวใหญ่ มีขนเส้นเล็กๆ ขึ้นตามตัวและขา ทั่วไปหมด มีทั้งขนสั้นและขนยาว ส่วนสีก็มีหลากหลาย ซึ่งก็จะแตกต่างกันไป แล้วแต่สายพันธุ์ ราคาประมาณตัวละ500-100บาท

Skinny pig หรือ หนูไม่มีขน จัดเป็นสัตว์ในตระกูล สัตว์ฟันแทะ (Rodent) ถูกเพาะพันธ์ขึ้น ที่ประเทศอเมริกา ซานดิเอโก แคริ ฟอร์เนีย เมื่อปี พ.ศ. 2537 โดยเกิดจากการผสม พันธ์ ระหว่างหนูแกสบี้พันธ์ Crest สี Golden Solid white เข้าด้วยกัน และเกิดการ กลายพันธ์ขึ้น คือ เมื่อแรกเกิดลูกหนูจะยังมีขนขึ้นตาม ตัวอยู่ แต่พอเริ่มโตขนขึ้นขนก็จะเริ่มร่วงลงไปจนกลายเป็น หนูไม่มีขน และได้มีการพัฒนาสายพันธ์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่อให้ลูกหนูที่ออกมา มีขนน้อยทีสุด

คาเมเลี่ยน เป็นกิ้งก่าที่มีขนาดตั้งแต่ 8-12 นิ้ว เป็นสัตว์ที่เคลื่อนที่ช้ามาก เพราะแต่ละก้าวต้องมาจากความมั่นใจ ด้วยสายตาที่ระแวดระวังภัยทุกด้าน ไม่มีเล็บที่แหลมคมสามารถจับเล่นได้ และปรับเปลี่ยนสีลำตัวตามอารมณ์ และอุณหภูมิ โดยจะมีสีเข้มขึ้นเมื่ออากาศร้อน หรือเมื่อตกใจและต่อสู้กันก็จะมีสีเปลี่ยนไป กิ้งก่าคาร์เมเลี่ยนมีหลากหลายสี เช่น แดง ฟ้า เขียว เหลือง ส้ม น้ำตาล หรือดำ เป็นต้นกิ่งก่าคาเมเลียน สามารถพรางตัวได้อย่างแนบเนียน ลิ้นของมันตวัดได้เร็วถึง 13 ไมล์/ชั่วโมง

Common marmoset ลิงmarmosetนั้น มีสายพันธ์ย่อยๆ แบ่งออกไปอีก แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในขณะนี้ก็คือ White ear common marmoset ซึ่งในปัจจุบันได้มีการเพาะขยายพันธ์ได้ในเมืองไทยกันอย่างแพร่หลาย

เตกู (Tegu) มี ถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบทะเลทรายละติน ประเทศสหรัฐอเมริกา จัดอยู่ในจำพวก สัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ ที่หน้าตาจะคล้ายตะกวดในบ้านเรา แต่มีหลากสีสันทั้ง สีแดง ขาว ดำ เหลือง น้ำเงิน เผือก มีลักษณะใบหน้ากลม แก้มป่อง เท้าทั้งสี่จะมีเล็บที่แหลมคม ร่างกายเต็มไปด้วย กล้ามเนื้อ มีพละกำลังมาก อีกทั้งยังเป็นนักล่าที่มีการตื่นตัว อยู่เสมอใครที่คิดจะเลี้ยง เตกู ต้องมีพื้นที่มากพอให้มันวิ่งเล่นและอาบแดด ราคาของเจ้าเตกูก็ตกตัวละประมาณ5000-25000บาท

หน้าตาแต่ละตัวก็ไม่ค่อยจะหน้ารักซักเท่าไหร่แต่ก็เป็นสัตว์เสี้ยง แสนรักของใครหลายๆคนจ๊ะ